ผมคิดว่า โหราศาสตร์เรานั้นยังพบข้อจำกัดเรื่องเชิงปริมาณอยู่มากครับ ทั้ง... - ดาวใหญ่ ดาวเล็ก เราไม่อาจหาค่าถ่วงน้ำหนักกับมุมมองเหล่านี้ (เพื่อนำไปสู่เชิงปริมาณ) แล้วให้ข้อสรุปชัดเจนได้ในการออกคำพยากรณ์แรงเบาได้ ยังต้องค้นคว้ากันต่อไป เรื่องศูนย์รังสีเจ้าชะตา จุดอิทธิพลเจ้าชะตานั้น ผมเคยค้นคว้าใช้อยู่บ้างช่วงหนึ่ง (ดังที่เห็นเขียนในบล็อคนู้น) แต่ไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่จะใช้ช่วยชั่งน้ำหนักได้ (เชิงปริมาณ) มีแต่จะยิ่งได้ความหมายอ่อน ขาดความประทับใจ (รวมทั้งการตีความของมุมผสมในการพยากรณ์) เพราะเวลาออกคำพยากรณ์จริงนั้น การออกละเอียดแบบนั้นมันผิดมากขึ้นได้พอกับจะถูกมากขึ้น ถ้ามองง่าย ๆ หากเราใช้มุมเล็กสุดคือ 22:30 ด้วย แล้วใช้จุด P1/P2, P1+P2-P3 เหล่านี้ จะมีโอกาสเจอเสมอ ๆ ไม่ว่าเราจะหลับตาจิ้มลงไปที่องศาใด (ใน 1 ต่อ 22 โดยประมาณ) หากเราพยายามแปลนัยของ P1, P2, P3 รวมกันจากที่พบทั้งหมด เราก็จะสับสนไปมาอยู่เอง ว่าเรื่องนั้นเกิดกับใครแน่ แค่ไหน (MC, AS, SU, MO, NO, AR อาจรวมถึง VX กับ PO ด้วย เมื่อถือว่า VX คือ ชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้โดยมีผู้อื่นเกี่ยวข้องด้วย และ PO คือ จิตวิญญาณสากล) เช่น ใกล้ตัว ไกลตัว แค่รับรู้ ถือถึงเนื้อถึงตัว หรือกระทบใจ เป็นต้น ในระดับปฏิบัติการจริง การมองแบบโหราศาสตร์ดั้งเดิม จะใช้ได้ผลค่อนข้างดีในการสนทนากับลูกค้า (Client) เช่น เห็นพฤหัส (JU) ก็ว่า โชคลาภของเจ้าชะตาไปเลย ไม่ต้องสำรวจว่าทำมุมกับจุดเจ้าชะตาใด (ที่โดยละเอียดแล้วควรสำรวจด้วย) เพราะหากเราใช้จุดเจ้าชะตาผสมคือ P1/P2, P1+P2-P3 เราจะพบเสมอว่า JU นั้นทำมุมถึงจุดเจ้าชะตาผสมเสมอ ๆ ผลการค้นคว้าในเรื่องนี้จะยืนยันหลักทั่วไปที่ว่า ดาวเดี่ยวแรงกว่าศูนย์รังสี ศูนย์รังสีแรงกว่าจุดอิทธิพล (แรง แปลว่า เกิดง่าย) กล่าวคือ P1/P2, P1+P2-P3 นั้นแสดงผลไม่ค่อยน่าประทับใจ (เกิดยาก เจ้าชะตาต้องรวมพลังจุดเจ้าชะตาของตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ ๆ สู้ A+B-C ซึ่งไม่ใช่จุดเจ้าชะตาเลย คือเป็นดาวล้วน ๆ ไม่ได้ เพราะ A, B, C มันไม่ขึ้นกับเจ้าชะตาว่าจะรวมพลังในตัวเองหรือไม่ (Free Will!) คือ A, B,C มันทำให้เกิดเองได้โดยธรรมชาติ เจ้าชะตาไม่มีส่วนไปกะเกณฑ์มันโดยทั่วไป) อันนี้ก็เป็นแค่ความคิดเห็นนะครับ ผมยังอยากให้ค้นคว้ากันต่อไปในการทำให้กลายเป็นเชิงปริมาณได้ (เช่น การลดระยะวังกะลงให้มากที่สุดสำหรับเรื่องเฉพาะที่สนใจตรวจสอบ การใช้ฮาร์โมนิกส์ที่เป็นตัวแทนหรือสะท้อนเรื่องเฉพาะนั้น เป็นต้น)
ในการใช้ปัจจัยบอกเวลา/สถานที่ หรือจุดเจ้าชะตาจรนั้น ก็ยังเป็นปัญหาที่เราตอบกันได้ไม่แน่นอนเสมอไปว่า ทำไมเราจึงตั้ง MC t, AS t, MC/AS t, SU/AS t, SU/AR t, SU+MO-MC ฯลฯ นอกจากว่า ตั้งแล้วมันเข้าถึงเรื่องนั้น ๆ ดี ซึ่งที่จะรู้อย่างนั้นได้ก็เพราะ (ต้องไม่ลืมว่า) เรารู้เรื่องที่เกิดแล้ว แต่ถ้ายังไม่รู้ เราจะไม่กล้าตั้งปึ้งลงไปแล้วบอกว่า เรื่องมันชัดที่แกนใด เช่น วันนี้/ที่นี่ (SU/AS t), นาทีนี้ (MC t), ณ ที่นี่ (AS t) จิตของฉัน ณ ที่นี้ (MC/AS t ฉันที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น หรือการงานของฉันในสิ่งแวดล้อมของฉันขณะนี้), วันนี้ชั่วโมงนาทีนี้เลยนะ (SU+MO-AS), ชั่วโมงนี้ของวันนี้ (SU/MO t), วันนี้ในโลกใบนี้ (SU/AR t หรือวันนี้โดยทั่วไป), ในโลกข้างนอกนี้ (AS/AR t ในที่สาธารณะนั้น ไม่ใช่ในบ้าน) และหากตั้งหลายแกนเกินไป มันจะยิ่งสับสนพอ ๆ กับชัดเจนขึ้นว่า เรื่องอะไรกันที่มันกำลังเกิดอยู่ และต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ทำไมถึงเลือกใช้แกนนั้น ไม่ใช้แกนนั้น (รวมทั้งศูนย์รังสี และจุดอิทธิพลในพวงเหล่านั้น) แต่หากคำตอบสุดท้ายคือทำนองว่า ก็แล้วแต่... มันก็คือคำตอบเดียวกับ อัตวิสัยล้วน ๆ หรือ เลือกปฏิบัติ นั่นเอง (ซึ่งหากเรื่องยังไม่เกิด เราก็จะพูดได้เพียงว่า มันก้ำกึ่ง ยังไง ๆ อยู่นะ เสมอ ๆ แต่ถ้าเรื่องเกิดแล้ว เราจะพูดอย่างผึ่งผายเลยว่า นี่ไง ตั้งแกนนี้ดูสิ ชัดเจน...) สุดท้ายแล้วเราต้องยอมรับกันว่า เราเลือกปฏิบัติกันจริง ๆ แต่ก็ต้องตอบกันให้ได้เป็นหลักที่แน่นอนลงไปว่า ครั้งไหนจะเลือกปฏิบัติอย่างไรบ้าง ไล่เรียงเป็นลำดับ ๆ ไปในแต่ละประเภทเรื่อง จนสุดสายในแต่ละความเป็นไปได้ (เป็น Tree Diagram หรือ If...Then....Else ไปได้จนสุดตรรกะ แม้ตรรกะจะซับซ้อนหรือยืดยาวเพียงใด เราจักต้องเขียนออกมาได้ หากเราเขียนวันละนิดละหน่อย เดี๋ยวมันก็ครบไปเอง ปัญญามนุษย์วิวัฒน์มาอย่างนี้ ตั้งแต่รู้ว่าต้นไม้อะไรกินอร่อยบ้าง สะสมมาเรื่อย ๆ จนเรารู้มาไกลมากว่าไม่กินหญ้าดีกว่า เพราะใบกระเพราอร่อยกว่าเยอะ และมีคุณค่าทางโภชนาการและยาสูงด้วย แต่หากเราไม่เขียน ใช้ความรู้สึกหรือความรู้เฉพาะตนเป็นครั้ง ๆ ไป แบบอธิบายไม่ค่อยได้ แต่ทำได้ ความรู้ก็จะไม่ถูกส่งต่อ ปัญญาจะไม่วิวัฒน์ และเข้าข่ายเป็นเรื่องลึกลับ ร่างทรง หรืออะไรทำนองนั้นไปในที่สุด และพวกมิจฉาชีพก็จะเข้ามาหาโอกาสในความคลุมเครือนั้นอย่างแน่นอน) |