เหตุเกิด พ.ศ. ๖๐ ตอน ๒

ตั้งแกนที่ SU/KR ซึ่งแปลว่า กษัตริย์ พระมหากษัตริย์ พระราชา พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าชายผู้ทำการปกครอง จะพบว่า SU/KR = AR = MA = VE = VX การทำมุมสัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา AR ซึ่งหมายถึง โลก, สาธารณะ, แผ่นดิน นั้นสนับสนุนโครงสร้างนี้อย่างชัดเจน รวมถึงจุดเจ้าชะตา VX ที่แปลว่า โชคชะตาอันหลีกเลี่ยงไม่ได้-อันเกี่ยวข้องกับผู้อื่น, MA, VE บ่งชี้ถึงการทำการเป็นได้ความสำเร็จและเป็นสุขหรือเป็นที่รัก (ของประชาชนหรือสาธารณชน โดยมี AR, VXช่วยชี้ชัด)
 
 
แกน SU/KR นี้ไม่ใช่แต่เพียงที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้นหรอก แต่เป็นโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่ และชัดแจ้งมาก เพราะ SU กุม PO กุม PL แสดงถึงการที่เจ้าชะตาเป็นผู้ (SU) มีปัญญาขั้นสูง (PO) เป็นเลิศ (PL) ส่วนทาง KR ก็กุม MC อยู่ ซึ่งเป็นจุดเจ้าชะตาที่แสดงถึงตัวตน (MC) อันสูงส่ง (KR) เมื่อก่อรูปเป็นศูนย์รังสีขึ้นก็มีแกนกุม NE ซึ่งหมายถึง ศรัทธา ศาสนา โครงสร้างนี้จึงเกาะกุมกันอย่างรุนแรงและเด่นชัด อาจเขียนได้ว่า SU.PO.PL/MC.KR = NE และไปเท่ากับ AR, VX, MA, V ดังกล่าวแล้ว NE ซึ่งอยู่ที่กลางแกนนี้มีบทบาทบ่งชี้สูงมากว่าพระองค์จะทรงหันพระทัยมาทางเป็นใหญ่ทางศาสนา มิใช่การเป็นพระมหาจักรพรรดิ ดังที่ปราชญ์ทั้งหลายทำนายเป็น ๒ ทาง หากแต่มีเพียงปราชญ์ผู้หนึ่งผู้เดียวคือโกณฑัญญะที่ทำนายเพียง ๑ ทางเดียว คือจะทรงเติบโตขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 
 
 
ขอย้ำอีกครั้งว่า แกนข้างต้นมีจุดเจ้าชะตาสัมพันธ์ด้วยถึง 4 ตัว คือ SU, MC, AR, VX โดย SU นั้นกุม PO, PL และ MC กุม KR อยู่อย่างบ่งชี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของพระองค์
 
พระฤาษีกาลเทวิล พระฤาษีผู้เฒ่าเป็นคนแรก ก่อนปราชญ์โกณฑัญญะ ที่ทำนายในเรื่องนี้เช่นกัน...
 
เมื่อพระฤาษีได้เห็นพระกุมารแล้ว ได้กล่าวขึ้นว่า
 
"มหาราชเจ้า มันไม่ใช่พระโอรสของพระองค์ที่ควรแสดงความเคารพต่ออาตมาเสียแล้ว แต่มันเป็นอาตมาเองต่างหากที่ควรแสดงความเคารพต่อพระโอรสของพระองค์ อาตมาได้เห็นชัดแล้วว่า พระกุมารนี้ มิใช่เป็นกุมารตามธรรมดา อาตมาได้เห็นชัดแล้วว่า เมื่อพระกุมารนี้เจริญวัยเติบโตเต็มที่แล้ว จักเป็นศาสดาเอก สอนธรรมอันสูงสุดแก่โลก โดยแน่นอนทีเดียว อาตมามั่นใจว่า พระกุมารนี้ ต้องเป็นศาสดาอันสูงสุดที่โลกจะพึงมี"
 
เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว พระฤาษีได้นิ่งอึ้งอยู่ขณะหนึ่ง มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แสดงความปลื้มอกปลื้มใจออกมานอกหน้า แต่แล้วน้ำตาได้ค่อย ๆ ไหลซึมออกมาทีละน้อย ๆ จนกระทั่งเป็นการร้องไห้ มีน้ำตานองทีเดียว
 
พระราชาได้ตรัสถามด้วยความตกพระทัยอย่างยิ่งว่า
 
"ทำไมกัน เกิดเรื่องอะไรแก่พระคุณเจ้าเล่า เมื่อตะกี้นี้พระคุณเจ้าได้ยิ้มอยู่ บัดนี้กลับร้องไห้ มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงหรือ พระคุณเจ้าได้มองเห็นเหตุร้ายอันใดอันหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นแก่โอรสของข้าพเจ้าหรือ"
 
พระฤาษีได้ทูลว่า
 
"หามิได้เลย มหาราชเจ้า พระองค์อย่าได้ทรงตกพระทัยเลย ไม่มีเหตุร้ายอันใดจะมาแผ้วพานพระโอรสของพระองค์ได้ เกียรติคุณของพระกุมารจักรุ่งโรจน์ พระกุมารจักเป็นผู้เรืองอำนาจอันสูงสุด"
 
พระราชาได้ตรัสถามว่า
 
"ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระคุณเจ้าจึงร้องไห้เล่า"
 
พระฤาษีได้ทูลว่า
 
"อาตมาภาพร้องไห้เพราะเห็นว่า อาตมามีอายุมากจนจะต้องล่วงลับไปในไม่ช้า จักไม่มีโอกาสอยู่เห็นโอรสของพระองค์ได้ตรัสรู้ เป็นพระศาสดาอันสูงสุดในวันหน้า ดูก่อน มหาราชเจ้า พระองค์จักทรงมีพระชนมายุจนถึงวันอันนำมาซึ่งความสุขอย่างยิ่งนั้น ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก ก็จักได้ประสบเหตุการณ์อันนั้น ส่วนอาตมาไม่มีโอกาสจะได้ประสบโชคอันใหญ่หลวง จึงไม่อาจจะอดกลั้นการร้องไห้ไว้ได้"
 
ผู้เขียนขอชี้แจงไว้สักนิดในท้ายตอนที่ ๒ นี้ว่า จะปรับเปลี่ยนการนำเสนอแต่ละตอนให้สั้นลง เพราะเห็นว่าตอนที่ ๑ นั้นยืดยาวเกินไป ไม่ถนัดต่อการอ่านในเวบไซต์อย่างได้ใจความที่สรุปรวบยอดลงตัวได้สำหรับผู้ที่มีความรู้ในขั้นต้น ๆ
 
และจะพยายามใช้การนำเสนอข้อมูลในมุมมองที่เข้าใจง่าย และด้วยข้อมูลซึ่งมีความบ่งชี้รุนแรง คือส่วนใหญ่จะแสดงข้อมูลที่เป็นระดับของดาวเดี่ยวถึงดาวเดี่ยว (A = B) และศูนย์รังสีถึงดาวเดี่ยว (A/B = C) เป็นหลัก มุมมองเช่นนี้จะสรุปผลได้ง่าย และมีข้อโต้แย้งน้อยที่สุด
 
ลำดับเหตุการณ์ในช่วงประสูติ
 
วันที่ ๒ พระฤาษีกาลเทวิล มาดูพระโอรส และทำนายพระโอรส
วันที่ ๕ ปราชญ์ทั้งหลายร่วมงานฉลอง ตั้งชื่อ และทำนายพระโอรส ปราชญ์โกณฑัญญะทำนายเช่นเดียวกันกับพระฤาษีกาลเทวิล
วันที่ ๗ พระนางสิริมหามายา พระมารดา สิ้นพระชนม์
 
อ้างอิง:
พุทธประวัติสำหรับยุวชน แปลและเรียบเรียงโดย พุทธทาสภิกขุ (เงื่อม อินฺทปญโญ) จากฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งแต่งโดย ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc Kechnie) ชาวอังกฤษ (A Young People's Life of the Buddha by Bhikkhu Silacara)
 
Comments