จุด Mp ชี้ว่า ดวงวันนี้ดีฉับพลัน (พฤหัส/มฤตยู)

เมื่อได้คุยโทรศัพท์กับเพื่อนรุ่นพี่ที่ใจเดียวกันซึ่งรักในการศึกษาและสะสมความรู้ด้านโหราศาสตร์ เปิดเผยเพื่อหยั่งใจลึก ๆ กันจนครื้นเครงแล้ว ได้ฝากความรู้ให้ผมรุ่นน้องผู้แสดงให้เห็นว่า ได้มีความสนใจในเรื่องเดียวกันว่าจะใช้โหราศาสตร์ไปในทางใดให้เกิดประโยชน์ หนึ่งในเรื่องนั้นก็คือ การเล่นหุ้น

เมื่อวางสายไปแล้ว ได้เปิดดวงตัวเองดู พบข้อมูล Mp = JU/UR ดังนี้

วันนี้มีอะไร: เมอริเดียน (Mp) ภายในช่วงวันนี้

MP = JU/UR v2 = JU/UR t, 090 = 045, แกนทำมุมกัน 045(135)

เมอริเดียน (Mp) = พฤหัส/มฤตยู

มีความพอใจอยู่กับโชคลาภอันหนึ่ง

 
โดยที่เฉพาะ JU/UR นั้นมีคำแปลดังนี้
 

พฤหัส/มฤตยู

ความสำเร็จทางด้านวัตถุ โชคดีโดยฉับพลัน หรือบางทีก็โชคร้ายโดยฉับพลันถ้าพฤหัสสถิตในโครงสร้างร้าย ๆ
 
 
ถือว่าเป็นข้อมูลนี้เป็นที่สอดคล้องกันกับเรื่องที่เพื่อนรุ่นพี่ท่านนี้โทรมาเป็นอย่างยิ่ง

หมายเหตุ: จุด Mp นี้ในแต่ละวัน ต้องลองขยับดูตั้งแต่เวลาตื่นนอนไปจนถึงเวลาเข้านอน สักทุก 2 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ควรจะได้สำรวจดูตอนเวลา 10 โมงทีหนึ่ง, บ่ายสามทีหนึ่ง และหนึ่งทุ่มอีกทีหนึ่ง รวมเป็นสามเวลาต่อวัน ซึ่งพอจะใช้เป็นตัวแทนของทั้งวันได้ ให้ให้สนใจปัจจัยจรใหญ่ ๆ (เดินช้า) ที่ทำมุมครบวงจรกันเป็นเรื่องสำคัญ (เพราะถ้าครบวงจรด้วยลัคนาหรือเมอริเดียนนั้น มันเกิดอยู่ทุก ๆ วันกับดวงกำเนิดอยู่แล้ว เพราะมันเดินเร็ว ประมาณ 4 นาทีต่อหนึ่งองศา ทำให้เป็นตัวแสดงถึงตัวตนของเจ้าชะตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ส่วนจันทร์นั้นก็เดินเร็ว 2 ชั่วโมงต่อหนึ่งองศา ก็ใช่บ่งชี้ชั่วโมงที่เกิดเหตุการณ์ได้ แต่หากใช้ Mp ในการดูดวงในแต่ละวันประจำวันได้โดยปรับเวลาเกิดแน่นอนแล้ว ผมเห็นว่าสามารถใช้การดูวันละ 3 เวลานั้นโดยได้ข้อมูลชัดเจนเพียงพอแก่การสรุปทันที โดยดูเฉพาะการครบวงจรของปัจจัยใหญ่ ๆ หรือเดินช้าเท่านั้นดังที่กล่าวแล้ว)
 
บันทึกเมื่อ: วันพฤหัสบดี ที่ 13 มีนาคม 2552 14:26:17 น.
 
 
ความคิดเห็นเพิ่มเติม
บันทึกเมื่อ: 17/03/2008 เวลา : 05.53 น.
 
วันนี้ได้พบท่านอาจารย์ ท่านได้ท้วงติงในวรรค "หมายเหตุ" ของผมว่าการดู Mp ทุก 2 ชั่วโมงนั้นไม่ถูกต้อง ในแต่ละวันให้ดู Mp ในขณะที่ MCt ทับหรือเล็ง SUr ก็พอแล้ว 

ซึ่งผมก็เห็นด้วย คือเป็นเรื่องถูกต้องในหลักปรัชญาโดยแท้ ที่การกำหนดเวลาสำรวจข้อมูล เมื่อไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนเป็นที่ตั้งดี ก็ให้เอาจุดที่บ่งชี้ "เจ้าชะตา" ทำมุมถึงกันในมุมแรง ๆ ให้มาก ๆ จุด แสดงถึงความสำคัญของเรื่องที่เกิดได้ 

อาจารย์ผมท่านไม่นิยมเขียนเพราะอาจไม่สะดวกในการใช้แป้นพิมพ์ ผมจึงได้นำมาบันทึกเอง แต่บันทึกแบบจับประเด็น ไม่ได้ Quote คำพูด จึงอาจขาดความไปบ้าง ผมก็ขอน้อมรับข้อผิดนั้นหากจะมี

ที่จริงแล้วโดยกรรมวิธีนี้เป็นเช่นเดียวกันกับที่เรานิยมใช้กันในดวงประจำปี (ทินวรรษ) หรือประจำเดือนต่าง ๆ นั้นเอง ที่เอา SUt หรือ MOt ทับหรือเล็ง SUr หรือ MOr หรือในดวงประจำวัน ก็อาจเลือกเวลาที่ MCt ทับหรือเล็ง SUt ได้ด้วย เป็นต้น 

แต่ผมจะยังขอวิจัยต่อไปในสมมติฐานที่ตั้งขึ้นนั้น 
เพราะเห็นว่าไม่ผิด  โดยที่พยายามจะไม่ใช้เวลาสมมติที่โบราณท่านใช้จุดเจ้าชะตาถึงกันมากจุดด้วยมุมแรง ๆ ด้วยมูลเหตุที่ว่า สมัยก่อนไม่มีเครื่องคำนวณที่ให้ข้อมูลได้ทุกนาทีหรือแม้แต่วินาทีอย่างในปัจจุบัน ดังนั้นการจะตรวจดวง (เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดใดของเวลา) ก็ต้องตั้งจุดเวลาที่เห็นว่า แรง หรือทำให้จุดเจ้าชะตาทับกันเสียให้มากที่สุด ประดุจเดียวกันกับการทำให้ตัวแปรน้อยลงดังในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ปฏิบัติกัน 

ในทางโหราศาสตร์การเอาจุดเวลาที่เจ้าชะตาทับกันมาก ๆ ในมุมแรง ๆ เป็นการทำให้แสดงถึงจุดเวลาสำคัญอันพุ่งเป้าไปยังตัวเจ้าชะตามากที่สุดนั่นเอง 

แต่เมื่อเครื่องคำนวณคือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้ทำให้ผู้ปฏิบัติการโหราศาสตร์ข้ามข้อจำกัดทางการคำนวณสมผุสดาวและผลของสมผุสดาวเหล่านั้น เช่น ศูนย์รังสี จุดอิทธิพลต่าง ๆ ไปได้แล้ว คือคำนวณได้บ่อย และช่วงถี่เท่าที่ต้องการเกือบจะเป็นอุดมคติแล้ว ผมจึงเห็นว่าสามารถจะค้นคว้าได้แล้วไปในหลักปรัชญาที่พื้นฐานที่สุดที่ว่า จะทำนายเรื่องอะไรก็ใช้เวลาของเรื่องนั้นแหละ นั้นคือเวลาที่ดีที่สุด 
(ปัญหาวนลูปก็คือว่า แล้วเราจะรู้เวลาที่ดีที่สุดได้อย่างไร ก็นั่นแหละเป็นหน้าที่ของเรา นักโหราศาสตร์ไง เราจึงสมมติเอาจุดเวลาสำคัญขึ้นใช้ หลักที่ประยุกต์ "ทบจุดเจ้าชะตาให้ทับกัน" นั้นจึงถูกต้องไง และใช้ได้เสมอ แต่ในแบบที่ต้องใช้ให้เป็นและควรแก่กรณี)

และเพราะด้วยหลักการพื้นฐานนั้น เหตุผลของการเกิดเหตุการณ์มีทั้งว่า...

  • มันมีมาตั้งแต่ในดวงกำเนิดก็มี
  • มีมาตามโค้งสุริยยาตร์ก็มี (ก็จะได้รับผลอยู่ประมาณ 1 ปี ถ้าไม่มีโครงสร้างอื่น ๆ มารับช่วงต่อให้อยู่ในสภาพเดิมนั้นต่อไปได้อีก ถ้าอยากเป็นอยู่อย่างเดิม เช่น อยากเป็นนายกฯ อยู่นาน ๆ เป็นต้น)
  • มีมาในฟ้า (ดวงจร) ก็มี คือสรุปง่าย ๆ ว่าฟ้าให้ (ซึ่งจะไปยืนยันหรือจุดระเบิดในสองทางแรก)

การเกิดเหตุการณ์ตามการมีมาของโครงสร้างอันสำคัญทั้งสามทางนั้น ไม่อาจใช้เวลาที่กำหนดสมมติขึ้นอย่างที่ดีที่สุดแล้ว คือดังที่ทำการทบจุดเจ้าชะตาเข้าทับ ๆ กันให้มาก อย่างที่โบราณท่านใช้ได้ตามหลักปรัชญาพื้นฐานนั้นแล้ว ที่จะสำรวจข้อมูลได้ชัดเจนหรือเห็นครบถ้วนเสมอไป

ข้อพิสูจน์ความคิดข้างต้นนั้น นักปฏิบัติการทางโหราศาสตร์คงพบด้วยตนเองได้ไม่ยาก เช่น บางครั้งเราต้องสำรวจต่อไปยังศูนย์รังสีของจุดเจ้าชะตาต่าง ๆ ในดวงต่าง ๆ อื่น ๆ แทน แล้วจึงพบโครงสร้างที่สำคัญกว่าทำงานให้เกิดเหตุการณ์นั้น เป็นต้น ซึ่งมันไม่ใช่กรณีของจุดเจ้าชะตาทับกันเลย ถ้าคนนอกวงการที่ไม่ได้ศึกษาโหราศาสตร์ให้ลึกซึ้ง ก็จะแกล้งว่าเอาดาย ๆ ได้ว่า นี่เป็นการพยายามหาเหตุผลมารองรับเมื่อทายไม่แม่นนั่นเอง (ถ้าออกคำพยากรณ์ไปแล้วทางอื่นหรือด้วยเหตุ-ผลอื่น)

วันนี้ได้สนทนากับเพื่อนใหม่บางคน ได้ความคิดบางอย่างว่าระบบพระเคราะห์สนธินั้น ด้วยวิธีการสำรวจข้อมูลที่ทำกันอยู่นั้น มีจุดแข็งที่ระบุจุดเกิดเหตุการณ์ได้ชะงักนัก และมีรายละเอียดของการเกิดเหตุการณ์มาก แต่หากมองมุมกลับ ก็จะพบว่าอาจมีจุดอ่อนอยู่ที่ว่ามันคมชัดมากไป เพราะมันใช้รังสีดาว คือคลื่น อันพุ่งตรงแน่วไป และสะท้อนไปทางเป็นลำๆ เสมอ โดยที่เรากำหนดระยะวังกะให้แคบ ๆ เพราะถือเอาอิทธิพลแรง ๆ ตรงกลางลำแสงนั่นเอง (สิ่งต่าง ๆ มองได้เป็น สสาร และ คลื่น แปรสภาพกลับไปกลับมากันได้ ตามที่ฟิสิกส์ได้ทำการพิสูจน์ทราบไปแล้ว) ดังนั้นจะไม่เห็นภาพรวม ภาพกว้าง ๆ อย่างระบบเรือนชะตา อย่างกรณีดูดวงนายกรัฐมนตรีว่าใครจะได้เป็นนี่ ที่สุดแล้วความได้เป็นนายกฯ ก็ต้องเป็นเวลาที่ได้รับการโปรดเกล้าเป็นพระบรมราชโองการแล้ว หาใช่วันเลือกตั้งไม่ เพราะมีปรากฏอยู่แล้วว่าผู้ได้รับเลือกตั้ง ได้รับการโหวตให้เป็นนายก ท่านประธานสภาฯ ยังเสนอชื่อท่านอื่นเป็นนายกได้อีกอย่างเป็นเอกสิทธิ์ของท่านประธาน การใช้ระบบพระเคราะห์สนธิจึงยากที่จะหมายเอาเวลาใดมาเป็นจุดสำรวจข้อมูลอย่างได้ผล แต่ระบบเรือนชะตานั้นมองภาพกว้าง จึงปรากฎว่าพยากรณ์ในกรณีอย่างนี้ได้เข้าเป้ากว่า (เท่าที่ผมติดตามข่าว ผมมองว่าอย่างนั้นนะ)

นี่เป็นข้อสนับสนุนที่ยกมาให้เห็นได้เรื่องหนึ่งว่า การจะดูเรื่องอะไรก็ต้องใช้เวลานั้น การที่เราทบจุดเจ้าชะตาให้ทับกันนั้น มันแค่ตัดตัวแปรออกไปจำนวนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด การเกิดเหตุการณ์ก็มีมาถึงสามทาง และมีการครบวงจรอีกหลาย ๆ แบบด้วย (ประมาณสัก 10 แบบได้ ขอไม่นับให้ดู) อย่างเรื่อง ท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวชนั้น บางความเห็นก็ว่า เป็นนายกฯ ตามที่มีโครงสร้างมาในโค้ง กับจร แต่ไม่มีในดวงกำเนิด ซึ่งการตรวจด้วยวิธี "ตามแบบ" มีนักปฏิบัติโหราศาสตร์จำนวนมากที่ออกคำพยากรณ์ไปแล้วอีกทาง ต้องมีทบทวนและหาเหตุผลสนับสนุนกันเพิ่มเติมใหม่

มีการค้นคว้าที่กำลังอยู่ในระหว่างการเฝ้าสังเกตของผมที่พูดให้ใครฟังในวันนี้ไม่ได้ เพราะมันยังเป็นความคิดที่เพ้อฝันเกินไปนัก แต่เป็นความพยายามที่เข้าถึงการพยากรณ์ล่วงหน้าที่รวดเร็ว ไม่ต้องดูนาน โดยทำการสำรวจข้อมูลไปรอไว้ก่อนข้างหน้า แล้วสังเกตว่าอะไรที่จะเป็นตัว Trigger หรือจุดระเบิดให้เกิดเหตุการณ์ตามโครงสร้างที่รออยู่แล้วนั้น ซึ่งจะประจักษ์ชัดตามโครงสร้างที่รออยู่แล้วนั้นเลยและรู้ได้ทันทีว่า นี่ไง มันเกิดเพราะมีมาในกำเนิด, โค้ง หรือจร และครบวงจรของข้อมูลในแบบใดด้วย โดยจะไม่เสียเวลาในการย้อนกลับไปหาข้อมูลมารองรับการเกิดเหตุการณ์นั้นเมื่อเกิดไปแล้วอีกด้วย นี่จะเป็นความพยายามของนักศึกษาอย่างผมที่จะพยากรณ์ล่วงหน้าได้จริง ๆ กับเขาบ้างคนหนึ่ง

หมายเหตุ: การที่ผมไม่ได้เอ่ยนามท่านอาจารย์ผู้ให้การศึกษาอบรมโหราศาสตร์แก่ผมในที่นี้เพื่อให้เกียรติแก่ท่านนั้น เป็นด้วยเหตุผลว่า มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย

  • คือทั้งจะเป็นการยกย่องเชิดชูท่านตามควร ซึ่งผมอยากทำอย่างยิ่ง
  • และเพราะอาจมีผู้คิดไปว่า จะยกท่านเป็นข้ออ้างความถูกต้องหรืออย่างไร (ซึ่งผมจะไม่ขออ้างใคร ผมรับผิดชอบตัวเองจะดีกว่า)
  • หรือแม้กระทั่งความอ่อนด้อยไม่ได้เรื่องของผม อาจนำไปสู่การดูถูกครูบาอาจารย์ของผมได้ ว่าผมนั้นเรียนกับใคร ว่าได้เรื่องแต่เพียงแค่นี้แค่นั้นเองหรือ

โดยที่ผมเขียนบันทึกนี้อย่างเป็นบันทึกประจำวัน หรือบันทึกที่นึกได้กันลืม ผสมกับที่ผมกำลังอยู่ในเพียงขั้นการค้นคว้า/วิจัย/พิสูจน์/ทบทวน ไปในหลักการหรือปรัชญาต่าง ๆ ทางโหราศาสตร์ โดยนำมาปฏิบัติการจริงและสังเกตเหตุ-ผล เพื่อหวังจะนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงในปรัชญาที่ลึกซึ้งของโหราศาสตร์ นี่น่าจะเป็นเช่นเดียวกันกับท่านที่สนใจศึกษาโหราศาสตร์ทั้งหลายที่จะต้องเคยผ่านขั้นตอนนี้กันไปแล้ว เพื่อเติบโตหรือพัฒนาตนไปสู่ขั้นพึ่งตนเองได้ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดธรรมดาของคนทั่วไป ซึ่งในระหว่างขั้นตอนแห่งการวิวัฒน์นี้ จะต้องมีความคิดที่เป็นข้อผิดพลาดบ้าง ซึ่งถ้าผิดก็จะขอยอมรับกันได้ง่าย ๆ เสียแต่ที่ยังเป็น "เด็ก" อยู่นี้ให้สิ้นไปเสีย เพราะหากเมื่อ "โต" ขึ้นแล้ว เกรงว่าจะพบกับธรรมชาติของมนุษย์ที่จะฟังคนอื่นยาก

การคิดที่ได้เขียนเป็นอย่างเป็นบันทึกนี้ ก็เป็นเรื่องที่บอกอยู่โดยนัยแล้วว่า ผมเขียนแบบคิดวันต่อวัน จึงจะไม่มีความเรียบร้อย ไม่มีความเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่ ๆ หรือครบถ้วนกระบวนความในเนื้อหาแต่อย่างใด ก่อนเริ่มต้น Blog ก็ได้ทบทวนแล้วจะต้องสลาย "อัตตา" ให้มากพอที่จะรับฟังผู้อ่านท่านอื่น ๆ เตือนตัวเองเสมอว่าต้องนิ่งเพื่อรับฟังคนอื่นอย่างตั้งใจ คนเห็นว่าผิดแล้วผิดจริงก็ยอมรับไป แก้กันไป รับความคิดใหม่แล้วก็จบกัน

ดังนั้น หากท่านผู้อ่านมีความคิดเห็นว่า มีที่ผิดหรือที่ถูกกว่าน่าจะเป็นเช่นใด จึงขอเชื้อเชิญให้มาเขียนแสดงความคิดเห็นกันได้ ผมยินดีรับอ่าน (ไม่ใช่ฟัง เพราะเป็นตัวหนังสือ) ด้วยความจริงใจ 

Comments